วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"หยุดเพื่อรู้"

"หยุดเพื่อรู้"
เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูป ทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติ ได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาทและรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแพร่ธรรมทูตครั้งแรก หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะขั้นปรมัตถ์ ทั้งเพื่อสอนผู้อื่นและเพื่อปฏิบัติตนเองให้เข้าถึงสัจธรรมนั้นด้วยลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญาธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า
"คิดๆ เท่าไร ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้"

"เป็นของภายนอก"


เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่ดูลย์อยู่ในงานประจำปีวัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถามทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูปอยู่ในหัวใจของเขา บางคนว่าได้เห็นสวรรค์เห็นวิมานของตัวเองบ้าง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาสำเร็จฯ
หลวงปู่อธิบายว่า
"สิ่งที่ปรากฏเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก"

"แนะวิธีละนิมิต"

"แนะวิธีละนิมิต"
ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกว่ายังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันทีหลวงปู่โปรดได้แนะวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผลฯ
หลวงปู่พูดว่า
"เออ นิมิตบางอย่างนั้นมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละง่ายๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง"

"จริง แต่ไม่จริง"


ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฏผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฏในอวัยวะร่างกายของตนเองบ้างส่วนมากกราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่าภาวนาแล้วก็เห็นนรก สวรรค์ วิมาน เทวาด หรือไม่ก็เป็นองค์พุทธรูปปรากฏอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ
หลวงปู่บอกว่า
"ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง."

"หลวงปู่เตือนพระผู้ประมาท"


ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา คือ มีความพอใจภูมิใจ
กับจำนวนศีลที่มีอยู่ในคัมภีร์ ว่าตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ
"ส่วนที่จะตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น จะมีสักกี่ข้อ."

"สิ่งที่อยู่หนือคำพูด"

"สิ่งที่อยู่หนือคำพูด"
อุบาสกผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง สนทนากับหลวงปู่ว่า "กระผมเชื่อว่า แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฏ เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นๆ แล้ว เขาจะได้มีกำลังใจและมีความหวัง เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่" ฯ
หลวงปู่กล่าวว่า
"ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูด

"ปรารถธรรมะเรื่องอริยสัจสี่"

"ปรารถธรรมะเรื่องอริยสัจสี่"
พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙ หลังฟังโอวาทและ
ข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ แล้ว หลวงปู่สรุปใจความ อริยสัจสี่ให้ฟังว่า
"จิตที่ส่งออกนอก                         เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก      เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต                                   เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต              เป็นนิโรธ."

"หลวงปู่ไม่ฝืนสังขาร"

"หลวงปู่ไม่ฝืนสังขาร"
ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้ว เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระดำรัสคำสุดท้ายว่า "ขออาราธนาหลวงปู่ให้ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม"
ทั้งๆ ที่พระราชดำรัสนี้เป็นสัมมาวจีกรรม ทรงประทานพรแก่หลวงปู่โดยพระราชอัธยาศัย หลวงปู่ก็ไม่กล้ารับ และไม่อาจฝืนสังขาร จึงถวายพระพรว่า
"อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง"

"ธรรมะปฏิสันถาร"

"ธรรมะปฏิสันถาร"
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทั้งสอง
พระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัยและการอยู่สำราญแห่งอิริยาบถของหลวงปู่ ตลอดถึงการ
สนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปุจฉาว่า "หลวงปู่
การละกิเลสนั้น ควรละกิเลสอะไรก่อน"
หลวงปู่วิสัชนาว่า
"กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน"

สังเขปประวัติ

"สังเขปประวัติ"
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล นับเป็นศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น  ภูริทัตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายอรัญญาวาสี ในยุคปัจจุบัน
พระเถระที่เป็นสหธรรมิก และมีอายุรุ่นเดียวกับหลวงปู่ดูลย์  ได้แก่ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาโมวัดป่าสาลวัน นครราชสีมา และหลวงปู่ขาว  อนาลโย วัดถ้ากลองเพล จ.อุดรธานี
ด้วยความปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของหลวงปู่ดูลย์ ท่านจึงมีศิษย์สำคัญๆ หลายองค์ ศิษย์รุ่นแรกๆ ก็มีหลวงปู่ฝั้น  อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร หลวงปู่อ่อน ญาณศิริ  วัดป่านิโคธาราม จ.อุดรธานีหลวงปู่สาม อกิญฺจโน วัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์ และพระเทพสุธาจารย์ (หลวงปู่โชติ  คุณสมฺปนฺโน) วัดวชิราลงกรณ์  อ.ปากช่อง นครราชสีมา
หลวงปู่ดูลย์  อตุโล เป็นพระอริยเจ้าที่มีคุณธรรมล้ำลึก ท่านเน้นการปฏิบัติภาวนามากกว่าการเทศนาสั่งสอน สำหรับพระสงฆ์และญาติโยมที่เข้าไปกราบนมัสการและขอฟังธรรมะ หลวงปู่มักจะให้ธรรมะสั้นๆ แต่มีความล้ำลึกสูงชั้นเสมอ ท่านจะเทศน์เรื่องจิตเพียงอย่างเดียว โดยจะย้ำให้เราพิจารณาจิตในใจอยู่เสมอ
หลวงปู่ดูลย์  อตุโล เกิดปีชวด วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๑ ที่บ้านปราสาท ต.เฉนียง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ท่านเกิดในตระกูล "เกษมสินธุ์" เป็นบุตรคนหัวปี ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๔ คน
เมื่ออายุ ๒๒ ปี หลวงปู่ได้อุปสมบทที่วัดจุมพลสุธาวาส อ.เมือง จ.สุรินทร์ โดยมีท่านพระครูวิมล ศีลพรต (ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ในพรรษาที่ ๖ หลวงปู่ได้เดินด้วยเท้าไปยังจังหวัดอุบลราชธานี พำนักอยู่ที่วัดสุทัศวนาราม เพื่อเรียนปริยัติธรรม สอบได้นักธรรมชั้นตรี แล้วจึงเรียนบาลีไวยากรณ์ต่อถึงแปลมูลกัจจายน์ได้
หลวงปู่ ได้รู้จักชอบพอกับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันดีในนามของแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม ในสายของหลวงปู่มั่น  ภูริทัตฺโต ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทำการเผยแพร่ธรรมะในสายพุทโธ จนแพร่หลายมาตราบเท่าทุกวันนี้
ในปีที่ ๒ ที่หลวงปู่ไปพำนักอยู่ที่อุบลราชธานีนั้น หลวงปู่มั่นได้ธุดงค์มาพำนักอยู่ที่วัดบูรพา ในเมืองอุบลราชธานี หลวงปู่ดูลย์และหลวงปู่สิงห์สองสหายผู้ใคร่ธรรม ได้ไปกราบนมัสการและฟังธรรมของพระอาจารย์ใหญ่ เกิดความอัศจรรย์ใจและศรัทธาเป็นที่ยิ่ง จึงตัดสินใจเลิกละการเรียนด้านปริยัติธรรม แล้วออกธุดงค์ตามหลวงปู่มั่นต่อไป นับเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นในสมัยแรก และได้ร่วมเดินธุดงค์ตามหลวงปู่มั่น ไปในที่ต่างๆ อยู่นานปี
หลวงปู่ดูลย์ เที่ยวธุดงค์หาความวิเวกตามป่าเขานานถึง ๑๙ ปี จึงได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการคณะสงฆ์ให้หลวงปู่เดินทางไปประจำอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อจัดการศึกษาด้านปริยัติธรรม และเผยแพร่ข้อปฏิบัติทางกัมมัฏฐานไปด้วยกัน หลวงปู่จึงได้ไปพำนักอยู่ประจำที่ ที่วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๖ จวบจนบั้นปลายชีวิตของท่าน
นับตั้งแต่บัดนั้นมา แสงแห่งรัศมีของพระธรรม ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ก็เริ่มฉายแสงรุ่งเรืองตลอดมา โดยหลวงปู่รับภาระทั้งฝ่ายคันถธุระ และวิปัสนาธุระ บริหารงานพระศาสนาอย่างเต็มกำลังสามารถ ในปฏิปทาส่วนตัวของท่านนั้นไม่เคยละทิ้งกิจธุดงค์ บำเพ็ญเพียรทางใจอย่างสม่ำเสมอตลอดมา พร้อมทั้งอบรมทางสมาธิภาวนาแก่ผู้สนใจปฏิบัติทั้งคฤหัสน์และบรรพชิต ด้วยเหตุที่หลวงปู่มีเมตตาธรรมสูง จึงช่วยสงเคราะห์บุคคลทั่วไปได้อย่างกว้างขวางโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
หลวงปู่มีสุขภาพอนามัยดีเป็นเยี่ยม แข็งแรง ว่องไว ผิวพรรณผ่องใส มีเมตตาเป็นอารมณ์ สงบเสงี่ยม เยือกเย็น ทำให้ผู้ใกล้ชิดและผู้ได้กราบไหว้ เกิดความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสนิทใจ
หลวงปู่ดูลย์  อตุโล พระอริยเจ้าผู้ประเสริฐ ได้ละเสียซึ่งสังขารเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๖ สิริอายุรวมได้ ๙๖ ปี กับ ๒๖ วัน พระอรหันตธาตุของท่านได้เก็บรักษาไว้ให้สาธุชนได้สักการะที่พิพิธภัณฑ์กัมมัฏฐานในบริเวณวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
ส่วนคำสอนของหลวงปู่ ซึ่งเป็นคำสอนสั้นๆ และเฉียบคมล้ำลึกนั้น ท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี ได้รวบรวมและพิมพ์ไว้ในหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" (ผมจะนำทยอยลงเป็นตอนๆ) นับเป็นหนังสือที่มีคุณค่าแก่นักปฏิบัติธรรม และผู้สนใจทั่วไป
หลวงปู่เน้นเรื่องการปฏิบัติภาวนา ให้พิจารณาจิตในใจจนรู้แจ้ง ท่านเทศนาแต่เพียงสั้นๆ แต่เฉียบคม ท่านสอนว่า
"หลักธรรมที่แท้จริงคือจิต จิตของเราทุกคนนั่นแหละคือหลักธรรมสูงสุด
ที่อยู่ในจิตใจเรา นอกจากนั้นแล้วมันไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย
ขอให้เลิกละการคิด...และการอธิบาย เสียให้หมดสิ้น
จิตในใจก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในทุกคน.

"ปฐมบท"

"ปฐมบท"
เมื่อผมได้กลับมาอยู่สุรินทร์ บ้านเกิดได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ น้องสาว หลานสาวที่น่ารัก และอยู่ร่วมกับภรรยาที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมมาด้วยกัน
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากจะทำเพื่อบ้านเกิด ไม่รู้ว่าด้วยสำนึก หรือด้วยจริตมารยาที่ผมยังไม่อาจค้นพบในส่วนลึกของกมลสันดาน บางครั้งผมถามตัวเองว่า "ผมกำลังทำอะไร" "ทำเพื่อใคร" และ "ทำไปทำไม"
คนเราเกิดมาทำไม บางครั้งก็หาคำตอบได้ยากอยู่เหมือนกัน ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ย่อมแปลกต่างไปตามความเชื่อของแต่ละคน และคำถามนี้ก็เป็นคำถามที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว หลายท่านอาจจะเคยได้ผ่านตามาจากสื่ออื่นๆ บ้าง หรืออาจจะตั้งคำถามให้กับตัวเองบ้าง
ณ เวลานี้ ผมพอจะมองเห็นคำตอบเลาๆ ตามความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ในกมลสันดานมาตั้งแต่กำเนิด เนื่องด้วยผมนับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อก่อนนั้น ก็เป็นแต่เพียงการนับถือตามทะเบียนราษฎร์เท่านั้น หาได้เข้าใจได้ลึกซึ้งถึงแก่นธรรมไม่
ครั้นพอมีเวลาได้มาอ่าน ได้ศึกษา ได้ลองปฏิบัติดู ตามควรแก่เวลาที่ผมพอจะหาได้ เข้าวัดฟังธรรมะในวันพระบ้าง
อย่างไรก็ตาม ความที่ยังเป็นปุถุชนธรรมดา ผมก็ยังไม่อาจตัดตัวกิเลสออกจากจิตเบื้องลึกได้ทั้งหมด ยังมีความอยากเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่วไป แต่พยายามทำความอยากให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลานี้
วันนี้ผมมีความคิดแบบนี้ ก็เล่าสู่กันฟัง หากวันหน้าความคิด ความอ่านของผมอาจเปลี่ยนไป ผมก็จะพยายามนึกถึงวันนี้ วันที่ผมคิดแบบนี้
ไม่ตึง ไม่หย่อนจนเกินไปในวิถีแห่งชีวิต พอดีๆ ตามอัตภาพ
"หลวงปู่ฝากไว้" เป็นบันทึกคติธรรมและธรรมเทศนาของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์  อตุโล) ที่ผมมีโอกาสได้อ่าน ได้ศึกษาในอีกมุมหนึ่งของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งผมเห็นว่าบันทึกนี้มีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจในธรรมะ แต่ใครจะได้รับได้มากได้น้อย ก็สุดแท้แต่ละคน
และขอนมัสการกราบขอบพระคุณท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี ที่เมตตาอนุญาตให้ผมนำบันทึกนี้เผยแพร่ได้
"ชีวิตของคนเราทำหน้าที่เหมือนเทียน เมื่อจุดแล้วก็มีหน้าที่ดับอย่างเดียว แต่จะดับช้าดับเร็วก็สุดแท้แต่อุปสรรคของแต่ละคน ... เมื่อเทียนให้แสงสว่างแล้ว เราจะใช้แสงสว่างนั้นอย่างไรก่อนจะดับ"
ด้วยจิตคารวะ

กระดานดำออนไลน์
ปรับปรุงล่าสุด อาทิตย์ สิงหาคม 22, 2547